|
นวนิยายเพื่อชาติศาสน์กษัตริย์ ความฝันอันสูงสุดตอนที่ ๓๑ "เมื่อหมอกเมฆจางหาย" โดย ดร.สุวิจักขณ์ ภานุสรณ์ฐากูร |
ในเวลานั้นข้าไวพอที่จะปัดลูกศรให้กระเด็นไป พร้อมทั้งปักดาบเข้ากลางอกอริศัตรูก่อนจะบิดมันเต็มแรง ข้าต้องการปลิดชีพไม่ต้องการผู้บาดเจ็บ
"เนเมียวมังชอ ข้าชื่อ เสือ ศรีพยัคฆ์ จะได้จดจำไว้ว่า เจ้าสิ้นชีพเพราะใคร"
ในเวลานั้นคู่ต่อสู้มองข้าดวงตาแดงกล่ำ ก่อนชีพจะปลิดปลิว และเพียงแค่ชั่วอึดใจ ที่เป็นไปโดยความประมาณขาดความระวัง ว่าข้าอยู่ในกลุ่มหมาหมู่ หาใช้ชายชาตรี...
"ฉึก ฉึก ฉึก" เสียงคมโลหะผ่านเนื้อ มันคือลูกศรที่ถูกระดมยิง โดยข้าไม่ทันตั้งตัว และคมศรทำให้ข้าหัวเข่าทรุด หนึ่งดอกปักที่อก อีกดอกปักที่หัวไหล่ ดอกสุดท้ายที่ลำคอ...
"ข้าคงได้พลีชีพอีกเป็นแน่" ข้ารำพึงในใจเป็นเวลาเดียวกับกองกำลังของกรมสมเด็จพระราชวังบวรมาถึงพอดี ข้ายังมีสติดีอยู่จึงเห็นฉากต่อสู้ที่จะจดจำไปตลอดกาล จอมทัพชักอาชาศึกเข้าตะลุมบอน ตัดศรีษะแม่ทัพพม่าจนขาดกระเด็น เหล่าทหารพม่าเมื่อเห็นแม่ทัพถูกปลิดชีพก็เริ่มเสียขวัญ แตกตื่นหนีทัพวิ่งกันกระเจิดกระเจิง ทหารกล้าของกรมพระราชวังบวรรุกไล่เข่นฆ่า จนทัพหลวงของพม่าจำต้องล้าถอยอย่างไม่เป็นท่า
"ฆ่าพวกมันให้สิ้น" แม่ทัพออกคำสั่ง เหล่าทหารต่างเข้าประหัตประหารอริราชศัตรู ล้มตายราวใบไม้ร่วง ร่างไร้วิญญาณกลาดเกลื่อนทุ่งลาดหญ้า
"ไอ้เสือ" กรมพระราชวังบวรทรงเรียกข้าก่อนชักอาชาศึกเข้าหา ข้าทรุดเข่านิ่งรู้สึกขยับร่างยากเย็น
"เป็นอย่างไรบ้างไอ้เสือ" ตรัสแล้วทรงเข้าประคอง
"เอ็งอย่าเพิ่งขยับ" ในเวลานั้นข้าเริ่มจะพูดอะไรไม่ออก เพราะลำคอเต็มไปด้วยโลหิต ข้ายกมือขึ้นอยากจะก้มลงกราบพระบาท แต่ทำไม่ได้
"เอ็งจะทำอะไร ข้ารู้ ข้ารู้ ไม่ต้องทำ ตอนนี้รักษาชีพชีวิตเถิด เอ็งตายไม่ได้ เพราะถ้าวิญญาณเอ็งหลุดลอย ข้าจะเอาเอ็งกลับไปมหาสมาคมที่พระที่นั่งไอศวรรคทิพยอาสน์ไม่ได้ มาได้เวลากลับแล้ว"
ข้ายังคงนิ่ง ได้ยินแต่พระสุรเสียง ก่อนที่จะเห็นลำแสงเรืองรองอยู่เบื้องหน้า
"คงไม่ทันแล้ว" ข้านึกคิดในใจ พลันกรมพระราชวังบวรทรงกุมมือข้าไว้แน่น
"มากลับกันได้แล้ว เอ็งได้พิสูจน์หัวใจแล้ว"
ภาพของทุ่งลาดหญ้าตรงหน้าเริ่มจางหาย ในเวลานั้นข้าไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนกันแน่...จะมารู้ตัวอีกครั้ง สิ่งที่อยู่ตรงหน้ามีแต่หมอกควันสีขาว ข้าได้ยินเสียงของกรมพระราชวังบวรแว่วดัง
"ฉิบหายแล้ว ไม่ทัน" สิ้นคำของจอมทัพ หมอกควันสีขาวเริ่มจางหาย ปรากฏเป็นแสงโอภาสสว่างเรือง
"ที่ไหน" ผมนึกใจใน พลันเสียงหนึ่งดังขึ้น ผมฟังอย่างตั้งใจ น้ำเสียงนั้นผมเหมือนเคยได้ยิน
"สุวิจักขณ์ หาญกล้านักนะเรา" น้ำเสียงคุ้นเคยมาก ก่อนหมอกขาวจะจางหาย ทำให้เห็นสิ่งที่ปรากฏเห็นตรงหน้า มหาบุรุษที่เรืองรองด้วยแสงประภัสสร
"คิดถึงเหลือเกิน" ผมคลานเข้าหาอย่างเต็มกำลัง
"หัวใจของเกล้ากระหม่อม หัวใจของเกล้ากระหม่อม" พูดรัวพร้อมหัวใจเต้นระทึก ก่อนโน้มตัวกราบพระบาท
"อย่าทิ้งเกล้ากระหม่อมไปอีก"
"เราไม่เคยทอดทิ้งใคร ขอเพียงเขาผู้นั้นยังคิดถึงเรา เราจะอยู่เคียงข้างเขาเสมอ"
น้ำตาแห่งความปิติหลั่งไหลท้วมท้น
"คิดถึงเหลือเกิน คิดถึงเหลือเกิน พระพุทธเจ้าข้า"
"ไม่เห็นกันนานยังจำเราได้หรือ"
"แม้ตายอีกพันชาติก็ไม่มีวันลืม พระพุทธเจ้าข้า"
มหาบุรุษทรงแย้มพระสรวล
"สุวิจักขณ์ ฉันอยากบอกว่า เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาพบกัน เธอจงกลับไปก่อนเถิดนะ"
"ไม่กลับไม่ได้หรือ เกล้ากระหม่อมไม่ได้เสียดายชีวิตตรงนั้น ขอแต่เพียงได้พบพระองค์ อะไรก็ห้ามเกล้ากระหม่อมไม่ได้"
"อย่าดื้อสิ กลับไปก่อน อย่างไรที่สุดเราก็ต้องได้เจอกันอยู่แล้ว"
ผมนิ่งไป ไม่กล้าขัดพระบรมราชโองการ เพียงชั่วเพียงอึดใจ มวลอากาศเริ่มหมุนวน
"กลับไปที่พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ก่อน แล้วเราจะได้พบกันที่นั่นอีกครั้ง" ทรงตรัสแล้วสมทบหนักแน่นอีกครั้ง
"เรียกชื่อเรา แล้วจะกลับไปที่นั่นอีกครั้ง"
ผมนิ่งไม่ยอมพูด เพราะใจจริงแล้วไม่อยากจากพระองค์ไปไหนเลย
"พูด..สุวิจักขณ์ กลับไปก่อนแล้วพบกันใหม่"
ผมไม่อาจขัดพระองค์ได้เป็นครั้งที่สอง จึงเอ่ยพระนามของพระองค์ทั้งน้ำตา
"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุยเดช"
|
|
จำนวนภาพ 1 ภาพ |
|
บันทึกเมื่อ 11/4/2565 ภาพ |
|
ภาพกิจกรรม พระราชกรณียกิจ |
|
|
|