|
เนื่องในวันคล้ายวันประสูติ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ |
...คนนับถือกรมหลวงชุมพรฯ เยอะ แต่คนไม่สนใจท่านในฐานะปุถุชน คนไม่สนใจว่าท่านเคยทำอะไรมา หรือทรงมีพระปรีชาอย่างไร คนสนใจท่านแต่ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์...
ความตอนหนึ่งในคำบอกเล่าของ ม.ร.ว. อภิเดช อาภากร ซึ่งมีศักดิ์เป็น หลานปู่ ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์
พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๒๘ ในรัชกาลที่ ๕ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาโหมด ประสูติในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๔๒๓
ขณะที่พระองค์มีพระชันษา ๑๓ ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้พระองค์เสด็จไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ และเมื่อทรงสำเร็จการศึกษาแล้ว ทรงเข้ารับราชการสนองพระเดชพระคุณในด้านการทหารเรือ พระองค์ได้แก้ไขปรับปรุงระเบียบการในโรงเรียนนายเรือ ทรงเป็นครูสอนนักเรียนนายเรือ และริเริ่มการใช้ระบบการปกครองบังคับบัญชาตามระเบียบการปกครองในเรือรบ คือ การแบ่งให้นักเรียนชั้นสูง บังคับบัญชารองลงมานอกจากนั้น ทรงจัดเพิ่มวิชาสำคัญสำหรับชาวเรือขึ้น เพื่อให้สำเร็จผู้การศึกษา สามารถเดินเรือทางไกลในทะเลน้ำลึกได้ คือ วิชาดาราศาสตร์ ตรีโกณมิติ อุทกศาสตร์ การเดินเรือเรขาคณิต พีชคณิต ฯลฯ
ในปี ๒๔๔๓ ทรงเข้ารับราชการในกรมทหารเรือโดยได้รับพระราชทานยศเป็นนายเรือโท (เทียบเท่านาวาตรีในปัจจุบัน) พระกรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อกองทัพเรือกำหนดแบบสัญญาณธงสองมือและโคมไฟทรงริเริ่มกำหนดแบบสัญญาณธงสองมือและโคมไฟ ตลอดจนเริ่มฝึกพลอาณัติสัญญาณ ขึ้นเป็นครั้งแรก ทหารเหล่าทัศนสัญญาณ จึงได้ถือกำเนิดขึ้นในปีนี้ เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๔๔๓
เมื่อทรงดำรงตำแหน่ง เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ ทรงแก้ไข ปรับปรุงการศึกษาระเบียบการในโรงเรียนนายเรือทุกอย่าง ทั้งฝ่ายปกครองและฝ่ายวิชาการ ให้รัดกุมทัดเทียมอารยประเทศ
เพื่อให้ผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนี้เป็นนายทหารเรือที่มีความรู้ความสามารถเสมอด้วยกับนายทหารเรือต่างประเทศ และสามารถทำการแทน ในตำแหน่งชาวต่างประเทศที่รับราชการอยู่ในกองทัพเรือในขณะนั้นอีกด้วย ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงแก้ไข ปรับปรุงระเบียบการศึกษาให้มีความก้าวหน้า แต่สถานที่ตั้งโรงเรียนนายเรือนั้นไม่มีที่ตั้งเป็นหลักแหล่งที่มั่นคงต้องโยกย้ายสถานที่เรียนบ่อย ๆ ซึ่งเป็นเหตุผลประการหนึ่ง ที่ทำให้ผลการเรียนของนักเรียนนายเรือไม่ดีเท่าที่ควร พระองค์จึงทรงพยายามทุกวิถีทาง ที่จะปรับปรุงกิจการด้านนี้ให้ก้าวหน้าจึงได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลรัชกาลที่ ๕ ขอพระราชทานที่เพื่อตั้งเป็นโรงเรียนนายเรือ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดินบริเวณพระราชวังเดิมให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๔๔๙ ทำให้กิจการทหารเรือมีรากฐานมั่งคงนับแต่นั้น และกองทัพเรือได้ยึดถือเอาวันดังกล่าวของทุกปีเป็นวัน กองทัพเรือ
ด้านการดนตรี กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ก็มีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างยิ่ง เพลงพระนิพนธ์ของกรมหลวงชุมพรฯ ทุกเพลง จะมีเนื้อหาปลุกใจ ให้มีความรักชาติ กล้าหาญ ยอมสละชีวิตเพื่อชาติ อาทิ เพลงดอกประดู่ เพลงเดินหน้า เพลงดาบของชาติ เป็นต้น ซึ่งเพลงพระนิพนธ์ของพระองค์ท่านนับว่าเป็นเพลงปลุกใจที่มีอายุยืนยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติไทย เพราะทหารเรือทุกนายได้ขับร้องเพลงเหล่านี้สืบต่อกันมาตราบจนปัจจุบันนับเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๘๐ ปี ดังนั้นจึงนับได้ว่าเพลงปลุกใจของพระองค์ จึงเป็นเพลงอมตะของทหารเรือ เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงเป็นอมตะอยู่ในจิตใจของทหารเรือตลอดเวลา
ในด้านการแพทย์นอกจากพระองค์จะทรงเป็นนักยุทธศาสตร์แล้ว ด้านการแพทย์แผนโบราณ พระองค์ก็ทรงศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง โดยในขณะที่เสด็จในกรมฯ ได้ทรงออกจากประจำการชั่วคราว ระหว่างปี ๒๔๕๔ - ๒๔๕๙
นอกจากนี้ยังทรงศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ ทรงเขียนตำรายาแผนโบราณลงในสมุดข่อยด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เองโดยทรงตั้งชื่อตำรายาเล่มนี้ว่า พระคัมภีร์อติสาระวรรคโบราณะกรรมและปัจจุบันนะกรรม ซึ่งสมุดเล่มดังกล่าวปัจจุบันได้ถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีที่พิพิธภัณฑ์ทหารเรือสมุทรปราการ
ด้านการรักษาพยาบาลพระองค์ทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บแก่คนทั่วไปไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนจีน จนกระทั่งชาวจีนย่านสำเพ็งซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณเรียกพระองค์ท่านว่า เตี่ย ซึ่งต่อมาทหารเรือได้เรียกพระองค์ว่า เสด็จเตี่ย ขณะที่คนไข้ชาวไทยมักเรียกพระองค์ว่า หมอพร
กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักด์ ทรงพระประชวรและสิ้นพระชนม์ในขณะที่ประทับอยู่ที่หาดทรายรีปากน้ำเมืองชุมพร เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๖๖ สิริพระชันษา ๔๔ ปี
ถึงแม้ว่า พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ จะสิ้นพระชนม์มาเป็นระยะเวลานานถึง ๙๕ ปี แล้วก็ตาม แต่พระกรณียกิจของพระองค์ที่ทรงทำคุณประโยชน์ให้แก่กองทัพเรือ และประเทศชาติอย่างมหาศาลนั้น
ทำให้กิจการของกองทัพเรือเจริญก้าวหน้ามาจนทุกวันนี้ ที่พระองค์ทรงริเริ่มวางรากฐานกิจการ ทหารเรือไทยให้มีความเข้มแข็ง มั่นคงมีสมรรถภาพ สามารถทำหน้าที่เป็นรั้วของชาติทางทะเลได้เป็นอย่างดีตลอดมา จนทหารเรือตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันต่างก็ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อย่างมิรู้ลืม จึงพร้อมใจกันถวายสมัญญาพระนามแด่พระองค์ท่านว่า พระบิดาแห่งทหารเรือไทย และถือเอาวันที่ ๑๙ พฤษภาคมของทุกปี เป็น วันอาภากร
|
|
จำนวนภาพ 1 ภาพ |
|
บันทึกเมื่อ 12/20/2565 ภาพ |
|
ภาพกิจกรรม พระราชกรณียกิจ |
|
|
|