ข้าพเจ้าเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิ์ขาดและโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร
บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าความประสงค์ของข้าพเจ้าที่จะให้ราษฎรมีสิทธิ์ออกเสียงในนโยบายของประเทศโดยแท้จริงไม่เป็นผลสำเร็จและเมื่อข้าพเจ้ารู้สึกว่าบัดนี้เป็นอันหมดหนทางที่ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือหรือให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนได้ต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงขอสละราชสมบัติและออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์แต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าขอสละสิทธิของข้าพเจ้าทั้งปวง ซึ่งเป็นของข้าพเจ้าในฐานที่เป็นพระมหากษัตริย์ แต่ข้าพเจ้าสงวนไว้ซึ่งสิทธิทั้งปวงอันเป็นของข้าพเจ้าแต่เดิมมาก่อนที่ข้าพเจ้าได้รับราชสมบัติสืบสันตติวงศ์
พระราชหัตถเลขาสละราชสมบัติบางส่วนของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ในพระราชหัตถเลขา ลงวันที่ ๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๗๗ เวลา ๑๓ นาฬิกา ๔๕ นาที
หลังจากมีพระราชหัตถเลขาสละราชสมบัติ พระองค์ทรงกลับไปใช้พระนามและพระราชอิสริยยศเดิม คือ สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา
พระองค์ไม่ทรงตั้งองค์รัชทายาท เพื่อพระราชทานวโรกาสให้รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้คัดเลือกพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่เอง คณะรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรจึงได้อัญเชิญเสด็จ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ขณะนั้นมีพระชนมพรรษา ๙ พรรษา เป็นพระโอรสในสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ และพระราชนัดดาในสมเด็จฯ พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
ซึ่งพระองค์เป็นเจ้านายเชื้อพระบรมวงศ์พระองค์ที่ ๑ ในลำดับพระราชสันตติวงศ์แห่งกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พุทธศักราช ๒๔๖๗ ขึ้นทรงราชย์เป็นสมเด็๋จพระเจ้าอยู่หัวสืบพระราชสันตติวงศ์ ตั้งแต่วันที่ ๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๗๗ สืบต่อไป
รวมเวลาในการครองราชย์ได้ ๙ ปี ขณะมีพระชนมพรรษาได้ ๔๑ พรรษา และเสด็จไปประทับที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตราบสวรรคต
ป.ล. ปีพุทธศักราช ๒๔๗๗ ที่ใช้อ้างอิงนั้น เป็นการนับศักราชแบบเก่า ที่เอาวันที่ ๑ เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ บางตำราอาจกล่าวว่า รัชกาลที่ ๗ ทรงสละราชสมบัติ พุทธศักราช ๒๔๗๘ แบบนี้ก็ถือว่าถูกเช่นเดียวกัน
ข้อมูลจาก สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น โดย ม.จ.พูนพิศมัย ดิสกุล, ประชาธิปก พระบารมีปกเกล้า
|