ข้อแนะนำวิธีสำรองข้อมูลเพื่อป้องกันมัลแวร์เรียกค่าไถ่หรือข้อมูลสูญหาย
ผู้เขียน: เสฏฐวุฒิ แสนนาม และ ณัฐโชติ ดุสิตานนท์วันที่เผยแพร่: 1 มิถุนายน 2560
ปรับปรุงล่าสุด: 1 มิถุนายน 2560
การสำรองข้อมูลสามารถทำได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการคัดลอกข้อมูลลงในฮาร์ดดิสก์สำรอง การอัปโหลดข้อมูลไปเก็บไว้กับผู้ให้บริการ cloud หรือแม้กระทั่งการซื้อบริการสำรองข้อมูลสำหรับใช้ในหน่วยงานโดยเฉพาะ ซึ่งแต่ละวิธีการก็มีข้อดีข้อเสียและค่าใช้จ่ายแตกต่างกัน
บทความนี้เป็นข้อแนะนำสำหรับผู้ใช้ทั่วไปในการสำรองข้อมูลในคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows และวิธีการกู้คืนข้อมูล โดยจะแนะนำการใช้ File History ซึ่งเป็นความสามารถในการสำรองข้อมูลอัตโนมัติของ Windows เวอร์ชันใหม่ๆ และการสำรองข้อมูลไว้กับผู้ให้บริการ cloud ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ Microsoft OneDrive, Google Drive และ Dropbox
การสำรองข้อมูลแบบออฟไลน์โดยใช้ File History
ตั้งแต่ Windows 8 เป็นต้นไป Microsoft ได้เพิ่มคุณสมบัติ File History [1] เข้ามาเพื่อช่วยในการสำรองและกู้คืนข้อมูล โดยสามารถตั้งค่าให้สำรองข้อมูลลงในฮาร์ดดิสก์แบบเชื่อมต่อภายนอก (external hard disk) หรือ ไดรฟ์ในเครือข่าย (network drive) ได้แบบอัตโนมัติFile History นอกจากจะช่วยในการสำรองและกู้คืนข้อมูลแล้ว ยังสามารถเก็บเวอร์ชันของไฟล์เพื่อย้อนกลับไปใช้งานไฟล์เวอร์ชันก่อนหน้าที่จะถูกแก้ไขหรือถูกลบได้ (ความสามารถคล้ายกับ Time Machine ของ macOS)
บทความนี้จะแนะนำวิธีใช้งาน File History ใน Windows 10 ในการสำรองข้อและกู้คืนข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์แบบเชื่อมต่อภายนอก
วิธีเปิดใช้งาน File History
- เชื่อมต่อฮาร์ดดิสก์แบบเชื่อมต่อภายนอกเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยควรเป็นฮาร์ดดิสก์ที่มีพื้นที่ว่างมากพอสำหรับใช้สำรองข้อมูล
- คลิกที่ปุ่ม Windows พิมพ์คำว่า Backup จากนั้นคลิกที่โปรแกรม Backup settings
- ในหน้าต่าง Back up using File History คลิกปุ่ม Add a drive จากนั้นเลือกฮาร์ดดิสก์ที่จะใช้สำรองข้อมูล (เลือกได้เฉพาะฮาร์ดดิสก์แบบเชื่อมต่อภายนอก ไม่สามารถสำรองข้อมูลลงในฮาร์ดดิสก์ที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ได้)
- ระบบจะเริ่มทำการสำรองข้อมูลให้โดยอัตโนมัติ ค่าเริ่มต้นของข้อมูลที่ถูกสำรองจะเป็นข้อมูลที่อยู่ในโฟลเดอร์ Home ของผู้ใช้ (เช่น Documents, Download, Pictures) หากต้องการเพิ่มหรือนำบางโฟลเดอร์ออกจากการสำรองข้อมูล คลิกที่ตัวเลือก More options
- ที่หน้าจอ Backup options สามารถตั้งค่าการสำรองข้อมูลได้ดังนี้
- Back up my files กำหนดความถี่ในการสำรองข้อมูล เลือกได้ตั้งแต่สำรองข้อมูลทุกๆ 10 นาที ไปจนถึงสำรองข้อมูลวันละครั้ง (ค่าเริ่มต้นเป็นการสำรองข้อมูลทุกชั่วโมง)
- Keep my backups เลือกว่าข้อมูลที่เก่าเกินระยะเวลานานเท่าใดถึงจะถูกลบทิ้ง ค่าเริ่มต้นคือไม่มีการลบทิ้ง (Forever) หากฮาร์ดดิสก์เต็มผู้ใช้ต้องลบข้อมูลทิ้งด้วยตนเอง หากต้องการให้ลบข้อมูลเก่าโดยอัตโนมัติเมื่อฮาร์ดดิสก์ใกล้เต็ม สามารถเปลี่ยนการตั้งค่าตรงนี้เป็น Until space is needed
- Back up these folders เลือกได้ว่าจะเพิ่มหรือนำโฟลเดอร์ใดออกจากการสำรองข้อมูล หากมีโฟลเดอร์ใดที่ไม่ต้องการสำรองข้อมูล ให้คลิกที่โฟลเดอร์นั้นแล้วเลือก Remove
- หากระบบยังไม่เริ่มสำรองข้อมูล หรือต้องการสั่งให้เริ่มสำรองข้อมูล ณ ขณะนั้น สามารถคลิกที่ปุ่ม Back up now เพื่อเริ่มดำเนินการ
- ข้อมูลที่ถูกสำรองไว้ จะอยู่ในโฟลเดอร์ FileHistory ในฮาร์ดดิสก์ที่ใช้เก็บข้อมูล
วิธีกู้คืนข้อมูลที่สำรองไว้
- เชื่อมต่อฮาร์ดดิสก์ที่เก็บข้อมูลที่สำรองไว้
- คลิกที่ปุ่ม Windows พิมพ์คำว่า File History จากนั้นคลิกที่โปรแกรม Restore your files with File History
- ที่หน้าจอโปรแกรม File History จะปรากฏรายการข้อมูลที่สำรองไว้ โดยแสดงตามวันเวลาที่ข้อมูลถูกสำรอง สามารถกดย้อนกลับเพื่อดูข้อมูลย้อนหลังได้
- การกู้คืนข้อมูล ทำได้โดยคลิกที่ปุ่มวงกลมลูกศรสีเขียว โดยสามารถเลือกได้ว่าจะกู้คืนข้อมูลทั้งโฟลเดอร์หรือกู้คืนเฉพาะบางไฟล์ที่ต้องการ สามารถดูตัวอย่างไฟล์ก่อนกู้คืนได้ [2]
การใช้ BitLocker เพื่อเข้ารหัสลับฮาร์ดดิสก์ที่เก็บข้อมูล
เนื่องจากไฟล์ที่ถูกเก็บสำรองไว้ในฮาร์ดดิสก์แบบเชื่อมต่อภายนอกอาจมีข้อมูลที่เป็นความลับอยู่ จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาข้อมูลรั่วไหลหากฮาร์ดดิสก์สูญหายหรือถูกขโมย หนึ่งในวิธีที่สามารถช่วยได้คือการเข้ารหัสลับข้อมูลในฮาร์ดดิสก์โดยใช้ BitLocker ซึ่งทำได้โดย- คลิกขวาที่ไอคอนฮาร์ดดิสก์ที่เก็บสำรองข้อมูล เลือกเมนู Turn on BitLocker
- ที่หน้าจอ BitLocker Drive Encryption สามารถตั้งรหัสผ่านสำหรับใช้ปลดล็อกฮาร์ดดิสก์ได้ ซึ่งต้องใส่รหัสผ่านนี้ทุกครั้งที่มีการเชื่อมต่อฮาร์ดดิสก์เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่อยู่ข้างใน
ข้อแนะนำและข้อควรระวังในการสำรองข้อมูลแบบออฟไลน์
- หากลักษณะการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นการแก้ไขไฟล์เอกสารอย่างสม่ำเสมอ ควรตั้งค่าความถี่ในการสำรองข้อมูลให้บ่อยที่สุด เพื่อที่จะสามารถกู้คืนไฟล์ข้อมูลเวอร์ชันล่าสุดได้หากระบบเกิดปัญหา
- หลังการสำรองข้อมูลเสร็จสิ้น ควรทดสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลที่สำรองไว้สามารถนำมากู้กลับคืนได้จริง
- การสำรองข้อมูลด้วยวิธีนี้ มีความเสี่ยงหากเครื่องคอมพิวเตอร์ติดมัลแวร์ ข้อมูลที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์สำรองอาจได้รับผลกระทบตามไปด้วย ควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนนำฮาร์ดดิสก์มาเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ หากมีข้อมูลที่สำคัญมากๆ อาจพิจารณาสำรองข้อมูลไว้มากกว่า 1 ชุด
การสำรองข้อมูลแบบออนไลน์โดยใช้บริการ Cloud
การสำรองข้อมูลโดยใช้บริการ cloud คือการนำข้อมูลไปฝากไว้กับผู้ให้บริการออนไลน์ที่ให้บริการพื้นที่เก็บข้อมูล ข้อดีคือข้อมูลที่อยู่บน cloud สามารถเข้าถึงได้จากอุปกรณ์อื่นๆ ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ (เช่น โทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ต) อีกทั้งในบางบริการสามารถเก็บไฟล์ไว้หลายเวอร์ชัน ทำให้สามารถกู้คืนไฟล์ที่แก้ไขผิดพลาดหรือถูกลบแบบไม่ตั้งใจได้ ข้อเสียของการสำรองข้อมูลด้วยวิธีนี้คือมีโอกาสที่ข้อมูลอาจรั่วไหลได้การสำรองข้อมูลผ่าน cloud ทำได้ทั้งการอัปโหลดไฟล์ผ่านหน้าเว็บไซต์ หรือการติดตั้งโปรแกรมเฉพาะไว้ที่เครื่องเพื่อให้ดาวน์โหลดหรืออัปโหลดไฟล์โดยอัตโนมัติ ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างการสำรองและกู้คืนข้อมูลผ่านบริการ cloud ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ Microsoft OneDrive, Google Drive และ Dropbox
การดาวน์โหลด ติดตั้ง และใช้งานบริการ Cloud
เนื่องจากวิธีติดตั้งและใช้งานโปรแกรมอาจมีความเปลี่ยนแปลงหากผู้พัฒนามีการอัปเดตเวอร์ชัน เพราะฉะนั้นบทความนี้จะไม่ขออธิบายในรายละเอียดเหล่านั้น โดยผู้ใช้สามารถศึกษาวิธีดาวน์โหลด ติดตั้ง และใช้งานบริการ cloud ได้จากเว็บไซต์ของผู้พัฒนา ดังนี้- Microsoft OneDrive มีติดตั้งมาพร้อมกับ Windows 10 อยู่แล้ว แต่หากใช้งาน Windows เวอร์ชันเก่าหรือถอนการติดตั้งออกไปแล้ว สามารถดาวน์โหลดมาติดตั้งใหม่และศึกษาวิธีใช้งานได้จาก https://onedrive.live.com/about/th-TH/download/
- Google Drive สามารถดาวน์โหลดและศึกษาวิธีใช้งานได้จาก https://support.google.com/drive/answer/2374987?hl=th
- Dropbox สามารถดาวน์โหลดและศึกษาวิธีใช้งานได้จาก https://www.dropbox.com/help/desktop-web/download-dropbox
การกู้คืนข้อมูลเวอร์ชันก่อนหน้า
หากเผลอแก้ไขไฟล์ ลบไฟล์โดยไม่ตั้งใจ หรือติดมัลแวร์ทำลายไฟล์ ผู้ใช้สามารถกู้คืนไฟล์เวอร์ชันก่อนหน้าได้ อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาในการกู้คืนไฟล์อาจมีจำกัด เนื่องจากผู้ให้บริการบางราย เช่น Dropbox จะเก็บไฟล์เวอร์ชันย้อนหลังไว้ไม่เกิน 1 เดือน รายละเอียดวิธีการกู้คืนไฟล์เวอร์ชันก่อนหน้า สามารถทำได้ดังนี้Microsoft OneDrive
- ล็อกอินเข้าเว็บไซต์ https://onedrive.live.com
- ในหน้าจอแสดงรายการไฟล์ คลิกขวาไฟล์ที่ต้องการเรียกดูเวอร์ชันก่อนหน้า จากนั้นเลือกเมนู Version History
- คลิกเลือกเวอร์ชันของไฟล์ที่ต้องการกู้คืน จากนั้นเลือกเมนู Restore [4]
- ล็อกอินเข้าเว็บไซต์ https://drive.google.com
- ในหน้าจอแสดงรายการไฟล์ คลิกขวาไฟล์ที่ต้องการเรียกดูเวอร์ชันก่อนหน้า จากนั้นเลือกเมนู Manage versions..
- ในหน้าจอแสดงรายการไฟล์ คลิกเลือกเวอร์ชันของไฟล์ที่ต้องการกู้คืน จากนั้นคลิกที่ปุ่ม More actions (จุดไข่ปลาแนวตั้ง) แล้วเลือก Download
การกู้คืนทีละไฟล์
- ล็อกอินเข้าเว็บไซต์ https://www.dropbox.com
- ในหน้าจอแสดงรายการไฟล์ คลิกปุ่มสัญลักษณ์ 3 จุด เลือกเมนู Version history
- เลือกเวอร์ชันของไฟล์ที่ต้องการเรียกดูเวอร์ชันก่อนหน้า จากนั้นคลิกปุ่ม Restore
Dropbox มีบริการช่วยเหลือสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการกู้คืนไฟล์จำนวนมากในคราวเดียว (เช่น เครื่องติดมัลแวร์เรียกค่าไถ่แล้วไฟล์ที่อัปโหลดขึ้นไป Dropbox ถูกเข้ารหัสลับ) สามารถแจ้งทีมช่วยเหลือของ Dropbox เพื่อให้ช่วยกู้คืนไฟล์ได้โดยไม่เสียค่าบริการ แต่อาจมีระยะเวลาในการดำเนินงาน การขอความช่วยเหลือสามารถทำได้โดย
- ล็อกอินเข้าหน้าเว็บไซต์ https://www.dropbox.com/support/
- เลือกประเภทบัญชีที่ใช้งาน Dropbox โดย Basic คือสำหรับผู้ใช้ฟรี
- ในหน้าจอขอความช่วยเหลือ เลือกหัวข้อ File recovery
- เลือก Undo a large number of changes to files and folders
- เลือก Revert my Dropbo back to dae and time เพื่อย้อนข้อมูลทั้งหมดใน Dropbox กลับไปยังวันเวลาที่กำหนด แต่หากต้องการย้อนคืนเฉพาะบางไฟล์หรือบางโฟลเดอร์ Undo a large number of changes to files and folders
- กรอกข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ เช่น อุปกรณ์ที่ประสบปัญหาในการใช้งาน Dropbox และสาเหตุที่ต้องการกู้คืนข้อมูล (ถ้าติดมัลแวร์เรียกค่าไถ่ ใส่ช่อง Subject เป็น Ransomware)
- คลิกปุ่ม Submit เพื่อส่งคำขอความช่วยเหลือไปยังทีมงาน Dropbox จากนั้นรอการตอบกลับทางอีเมล
ข้อแนะนำในการเข้ารหัสลับไฟล์ข้อมูลก่อนนำขึ้น cloud
ผู้ใช้ควรพิจารณาก่อนนำข้อมูลใดๆ ที่เป็นความลับส่งขึ้น cloud เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงเรื่องข้อมูลรั่วไหล เช่น รหัสผ่านสำหรับล็อกอินเข้าใช้งานหลุดรั่ว หรือผู้ให้บริการ cloud ถูกเจาะระบบเพื่อป้องกันความเสี่ยง หากต้องการอัปโหลดไฟล์ขึ้น cloud ควรเข้ารหัสลับข้อมูลในไฟล์ ซึ่งสามารถทำได้โดย
- ใช้ความสามารถเข้ารหัสลับไฟล์ข้อมูลเอกสาร ปัจจุบันซอฟต์แวร์ office เช่น Microsoft Office หรือ LibreOffice มีความสามารถในการเข้ารหัสลับข้อมูลในไฟล์อยู่แล้ว โดยสามารถตั้งรหัสผ่านได้จากหน้าจอบันทึกไฟล์ [5] [6]
- บีบอัดไฟล์แล้วใส่รหัสผ่าน โดยอาจใช้โปรแกรม เช่น 7-Zip เพื่อช่วยในการเข้ารหัสลับไฟล์ได้ [7]
- ใช้บริการเข้ารหัสลับไฟล์ข้อมูลอัตโนมัติก่อนส่งขึ้น cloud โดยปัจจุบันมีผู้พัฒนาเครื่องมือให้สามารถใช้งานในลักษณะนี้ได้ เช่น Boxcryptor เป็นต้น โดยอาจมีค่าใช้จ่ายหากต้องการความสามารถที่เพิ่มขึ้น
อ้างอิง
- https://support.microsoft.com/en-us/help/17128/windows-8-file-history
- https://support.microsoft.com/en-us/help/17143/windows-10-back-up-your-files
- https://veracrypt.codeplex.com/wikipage?title=Beginner%27s%20Tutorial
- https://support.microsoft.com/en-us/help/17184/windows-10-onedrive
- https://support.office.com/en-us/article/Password-protect-documents-workbooks-and-presentations-ef163677-3195-40ba-885a-d50fa2bb6b68
- https://help.libreoffice.org/Common/Protecting_Content_in
- https://www.howtogeek.com/203590/how-to-create-secure-encrypted-zip-or-7z-archives-on-any-operating-system/